เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน สิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงไปไม่ได้เลยก็คือฝนตกถนนลื่น ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นอย่างมาก รวมไปถึงทัศวิสัยในการมองเห็นที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การขับขี่นั้นอันตรายมากขึ้น ดังนั้นเมื่อหลีกเลี่ยงการขับบนถนนลื่นไม่ได้ เราต้องมาขับขี่ด้วยความปลอดภัยกันเลยลดีกว่า กับวิธีขับรถให้ปลอดภัยเมื่อต้องเจอถนนลื่น
- ตรวจสภาพยาง
โดยปกติแล้วการตรวจเช็คสภาพยาง เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำกันเป็นประจำ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถ ยิ่งในช่วงฝนตกถนนลื่นแล้ว ต้องมีการตรวจเช็คเพิ่มพิเศษในการตรวจตราในช่วงหน้าฝนสักหน่อยว่า ยางรถยนต์ของคุณสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหรือไม่ อย่าลืมว่าสภาพยางส่งผลต่อการเบรกเสมอ
- ขับรถในความเร็วต่ำ
มื่อเวลาเราขับรถตอนฝนตก แนะนำให้ใช้ความเร็วที่เหมาะสม ซึ่งความเร็วในระดับที่ปลอดภัยที่สุดคือ 40-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับช้าหน่อยแต่ปลอดภัยถือว่าดีที่สุด เพราะถ้าหากคุณขับรถในความเร็วที่มากเกิน อาจจะทำให้รถเสียหลักได้
- เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่
ติดผลิตภัณฑ์กันสาดรถที่หน้าต่าง หรือกระจกรถจะช่วยดักและระบายน้ำฝน ไม่เกาะผิวกระจก ทำให้มองเห็นสภาพภายนอกรถได้ดีขึ้น และอย่าลืมทำความสะอาดกระจกหน้าต่างภายในรถสัปดาห์ละครั้ง
- ไฟหน้ารถก็เปิดได้
แม้ว่าจะเป็นในตอนกลางวัน แต่ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็ทำให้เรามองไม่เห็นได้ การเปิดไฟหน้ารถจะทำให้คุณมองเห็นถนนด้านหน้าได้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังทำให้รถคันอื่นๆ โดยเฉพาะคันที่อยู่ด้านหน้ามองเห็นทิศทางรถของคุณได้ดีขึ้นอีกด้วย ในขณะที่ไฟตัดหมอกควรเปิดเฉพาะช่วงฝนตกหนักเท่านั้น และเมื่อฝนเบาลงก็ควรปิดทันทีเพื่อไม่ให้แยงตาผู้ขับขี่คันอื่น
- เข้าโค้งอย่างปลอดภัย
การเข้าโค้งในเวลาขับรถตอนฝนตก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราจะต้องชะลอความเร็วของรถก่อนเข้าทางโค้ง และระมัดระวังอย่าตีวงมากเกินไปเพราะมันจะทำให้ท้ายรถเกิดอาการส่าย มีความเสี่ยงที่จะทำให้รถเสียการควบคุมได้
- จอดพักข้างทาง
หากฝนตกหนักมาก หรือรถเลนข้าง ๆ สาดน้ำมาใส่แรงเกินไป ก็ไม่ควรขับไปต่อ เมื่อทัศนวิสัยต่ำจนทำให้คุณไม่สามารถมองเห็นขอบถนน หรือยานพาหนะที่อยู่ข้างหน้าได้ ให้หาที่จอดที่ปลอดภัย โดยให้ห่างจากถนนให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ เปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินไว้ แล้วรอจนฝนซาลงก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ
อยากทำประกันรถยนต์แต่รู้สึกว่าประกันชั้น 1 แพงจนเกินไป และไม่คุ้มค่า ดังนั้นประกันรถยนต์2+ จึงเป็นหนึ่งทางเลือกที่ดี สำหรับคนที่มีรถยนต์ แต่ไม่อยากจะเสียค่าเบี้ยประกันเยอะๆ นอกจากนี้แล้วประกันรถยนต์2+ยังมีการคุ้มครองที่เทียบเท่ากับชั้น 1 ด้วย